เมนู

เปตานัง อุททิสสผลปัญหา ที่ 8


ราชา

สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีมีพระราชโองการตรัสถามว่า ภนฺเต นาคเสน
ข้าแต่พระนาคเสนผู้ปรีชา อิเม ทายกา อันว่าทายกทั้งหลายนี้ ย่อมให้ทานแล้วอธิษฐานจิต
อุทิศส่วนกุศลว่า ด้วยเดชะที่ข้าพเจ้ากระทำการกุศลครั้งนี้ อิมํ เตสํ ปาปุณาตุ อันว่าผลกุศลนี้
จงได้แก่บิดามารดาญาติกามิตรสหายบุตรภรรยาสามีของข้าพเจ้า ที่ตายไปสู่ปรโลกนั้นเถิด นี่
แหละพระผู้เป็นเจ้า ชนทั้งหลายที่ตายไปสู่ปรโลกนั้น จะได้ผลกุศลที่ทายกอุทิศให้หรือประการใด
พระนาคเสนมีเถรวาจาวิสัชนาว่า มหาราช ขอถวายพระพรบพิตรพระราชสมภาร
บางจำพวกก็ได้ บางจำพวกก็ไม่ได้
พระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีมีพระราชโองการตรัสว่า เป็นเหตุอะไรอย่างนั้น พระผู้
เป็นเจ้า
พระนาคเสนจึงวิสัชนาว่า มหาราช ขอถวายพระพรบพิตรพระราชสมภาร ด้วยคน
ทั้งหลายที่ตายไปสู่ปรโลกนั้น บางจำพวกไปเกิดในนรก บางจำพวกไปเกิดในสวรรค์เสวยรมย์
ชมสมบัติทิพย์ ติรจฺฉานโยนิคตา บางจำพวกไปเกิดในติรัจฉานกำเนิด เกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน
สัตว์ 3 จำพวกนี้ ถึงทายกจะแผ่ส่วนบุญกุศลให้ก็ไม่ได้เลย ประการหนึ่ง เป็นอสุรกายก็ดี เป็น
ขุปปิปาสิกาเปรตอดข้างอดน้ำก็ดี เป็นนิชฌามตัณหิกเปรตเพลิงไหม้อยู่เป็นนิตย์ก็ดี 3 จำพวกนี้
ึถึงญาติจะแผ่ส่วนบุญให้ก็ไม่ได้ จะได้อยู่แต่ปรทัตตูปชีวเปรตนั้นจำพวกเดียว ด้วยปรทัตตูปชีวี
เปรตนั้น มีชีวิตอยู่ด้วยทายกอุทิศส่วนกุศลให้ ถ้าว่าบิดามารดาคณาญาติมิตรบุตรธิดาสามีตาย
ไปสู่ปรโลกนั้น ตายไปเป็นปรทัตตูปชีวีเปรต แม้ทายกอุทิศส่วนบุญให้ก็ได้รับ ถ้าไม่ได้เกิดเป็น
ปรทัตตูปชีวีตเปรตแล้ว ถึงทายกแผ่ส่วนบุญให้ก็ไม่ได้ ขอถวายพระพร
สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีมีพระราชโองการตรัสว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่
พระนาคเสนผู้ปรีชาทานที่ทายกถวายแล้วอุทิศส่วนกุศลให้แก่บิดามารดาเป็นต้นที่ตายไปสู่
ปรโลก ถ้าบิดามารดาเป็นต้นนั้น มิได้เกิดเป็นปรทัตตูปชีวิเปรตก็ไม่ได้แล้ว ผลทานนั้นจะ
มิสูญเปล่าหรือ ถ้าว่าญาติบิดามารดาเป็นต้นเกิดเป็นอื่น ผลทานนั้นก็สูญเปล่า ไม่เป็น
ประโยชน์นะซิ พระผู้เป็นเจ้า.
พระนาคเสนจึงถวายพระพรว่า มหาราช ขอถวายพระพรบพิตรพระราชสมภาร ผลทาน
นั้นจะสูญเปล่าหามิได้ ทายกผู้ให้ทานนั้นก็ได้ผลทานนั้น ขอถวายพระพร
สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีมีพระราชโองการตรัสถามว่า ภนฺเต นาคเสน ข้า

แต่พระนาคเสนผู้ปรีชา การเณน มํ สญฺญาเปหิ พระผู้เป็นเจ้าจงยังโยมให้รู้โดยอุปมาในกาล
บัดนี้เกิด พระผู้เป็นเจ้า
พระนาคเสนจึงมีเถรวาจาว่า มหาราช ขอถวายพระพรบพิตรพระราชสมภารเป็นประเสริฐ
ยังมีบุรุษผู้หนึ่งจะไปเยี่ยมญาติของอาตมา ตบแต่งซึ่งสุรามังสะกับโภชนาหาร ขนมของกินแล้ว
จึงนำเอาของเหล่านั้นไปฝากตระกูลญาติของอาตมา ก็หาพบปะญาติไม่ เมื่อไม่พบญาติแล้ว จะ
เอาของนั้นให้แก่ใครเล่า ของนั้นจะมิหายสูญเปล่าหรือบพิตร
สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีมีพระราชโองการตรัสว่า น หิ ภนฺเต ของนั้นจะสูญ
ไปหามิได้ ของนั้นก็อยู่กับเจ้าของนั้นแหละ พระผู้เป็นเจ้า
พระนาคเสนจึงมีเถรวาจาว่า มหาราช ขอถวายพระพรบพิตรพระราชสมภาร ความ
ประการนี้เปรียบฉันใด ทายกระทำทานอุทิศผลบุญไปให้แก่ญาติของตน เมื่อญาติไม่เป็นปร-
ทัตตูปซีวิเปรตแล้ว ผลทานนั้นจะสูญไปหามิได้ ผลทานนั้นไซร้ก็คงได้แก่ทายกผู้ให้ เอวเมว
อุปไมยเหมือนบุรุษชายหาของไปเยี่ยมญาตินั้น เมื่อไม่พบแล้ว ของนั้นก็กลับได้แก่บุรุษชายนั้น
อีกประการหนึ่ง ขอถวายพระพรมหาบพิตร เหมือนหนึ่งบุรุษเข้าไปสู่ห้อง เมื่อประตู
อื่นนอกจากประตูที่เข้าไม่มีแล้ว บุรุษนั้นจะพึงออกทางไหน ก็จะต้องออกทางประตูที่เข้าไปมิใช่
หรือ ยถา ข้อนี้มีครุวนาฉันใด ทายกที่ให้ทานอุทิศผลไปให้หมู่ญาติ เมื่อหมู่ญาติคือมิได้ไปเกิด
เป็นปรทัตตูปชีวีเปรต ผลแห่งทานนั้นก็ย่อมจะกลับมาถึงท่านผู้ให้ เอวํ เอว มีอุปไมยฉันนั้นแล
ขอถวายพระพร บพิตรจงทรงทราบดังนี้
สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีจึงมีพระราชโองการตรัสว่า สาธุ ภนฺเต ข้าแต่พระ
ผู้เป็นเจ้า โยมนี้ไม่สงสัย เข้าใจแล้ว ว่าผลทานทายกให้ญาติที่เป็นเปรต ถ้าว่าไม่ได้ผลทาน
กลับได้แก่ทายกเจ้าของทานผู้อุทิศให้ สมฺปฏิจฺฉามิ โยมจะรับถ้อยคำของผู้เป็นเจ้าไว้ในกาล
บัดนี้
เปตานัง อุททิสสผลปัญหา คำรบ 8 จบเพียงนี้

กุสลากุสลานัง มหันตามหันตภาวปัญหา ที่ 9


ราชา

สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีมีพระราชโองการตรัสถามต่อไปว่า ภนฺเต
นาคเสน
ข้าแต่พระนาคเสนผู้ปรีชา ทายกา อันว่าทายกทั้งหลายกระทำทานอุทิศผลทานให้แก่
บุรพเปรต บุรพเปรตก็ได้ผล ถ้าบุคคลกระทำอกุศลอันหยาบช้า คือฆ่ามนุษย์กระทำโลหิตุปบาท
อรหันตฆาต เป็นต้น เป็นอกุศลอันทารุณร้ายกาจหยาบช้า จะพึงอุทิศผลอกุศลนั้นให้ญาติ
อันเป็นเปรต เปรตนั้นจะได้ผลอกุศลนั้นหรือจะไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า
พระนาคเสนจึงเถรวาจาว่า น หิ มหาราช ไม่ได้ ขอถวายพระพรบพิตรพระราช-
สมภาร
สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีมีพระราชโองการตรัสว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระ
นาคเสนผู้ปรีชา ส่วนว่าทายกกระทำทานการกุศลสิอุทิศแผ่ลงไปได้ ฝ่ายว่ากระทำอกุศลแผ่ผล
ไปไม่ได้ เหตุผลเป็นประการใด โยมสงสัยนักหนา
พระนาคเสนผู้ปรีชาจึงมีเถรวาจาว่า มหาราช ขอถวายพระพรบพิตรพระราชสมภาร
ความประการนี้บพิตรถามดุจถามว่ารสทั้งปวงเป็นไรไม่เหมือนกัน โลกทั้งปวงนั้นจะให้อาตมา
กระทำให้เป็นกิจอันเดียววิสัชนาให้เหมือนกันไม่ได้ เหตุอันอื่นมีอยู่บพิตรไม่ถาม มาถามประการ
นี้ อย่าได้ถามเลย เหมือนหนึ่งถามว่า ฝักข้าวโพดเป็นไรจึงตั้ง ลูกฟักเขียวฟังทองเป็นไรจึง
ห้อยย้อยลงมา น้ำในแม่น้ำคงคาเป็นไฉนไม่ไหลทวนขึ้นไปเบื้องบนเล่า มนุษย์กับนกเป็นไปจึง
สองเท้า เนื้อเป็นไรจึงสี่เท้า ไม่รู้ที่จะวิสัชนาได้ ขอถวายพระพร
พระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีจึงมีพระราชโองการตรัสว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระ
นาคเสนผู้ปรีชา ใช่ว่าโยมจะแกล้งถามพระผู้เป็นเจ้าให้จนหามิได้ โยมถามทั้งนี้ด้วยเหตุว่ามนุษย์
ทั้งหลาย วิจกฺขุกา ปราศจากปัญญาจักขุมีมากในโลกนี้ จะถามเช่นโยมถามฉะนี้ จะหามีผู้แก้ไข
ไม่ โยมจึงถามให้ผู้เป็นเจ้าวิสัชนาให้เป็นผลแก่ฝูงชน อันจะเกิดมาในอนาคตกาลเบื้องหน้า
เอวาหํ ปุจฺฉามิ โยมจึงถามพระผู้เป็นเจ้าฉะนี้อย่างนี้
พระนาคเสนจึงมีเถรวาจาว่า มหาราช ขอถวายพระพรบพิตรพระราชสมภารผู้ประเสริฐ
อาตมามิอาจจะแจกอกุศลให้เหมือนกุศลได้โดยอนุมานปัญญา ดุจหนึ่งว่ามนุษย์ทั้งหลายอัน
กระทำอุทกังให้ไหลไปด้วยกาลักน้ำ และจะให้เว้นเสียจากกาลักน้ำ จะให้ยกเอาภูเขาอันเป็น
ช่องมากระทำให้น้ำไหลไปสู่ที่ไกลจะได้หรือ บพิตร
พระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดี มีพระราชโองการตรัสว่า น หิ ภนฺเต ไม่ได้นะ พระผู้เป็นเจ้า